วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตามดูความคิด

เราจึงอยู่ท่ามกลางความเป็นไปอย่างเลื่อนไหลมีพลังในสิ่งที่เคลื่อนไป พลังแห่งสรรพสิ่งได้ดำเนินไปตามวิถีของมัน สอดคล้องกับความเป็นจริงที่แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดนิ่งเป็นวิวัฒนาการ เป็นวัฏฏะที่สร้างสรรค์และพัฒนา




คนเรามักวนเวียนอยู่กับอดีต ปัจจุบันและอนาคต เชื่อมโยงตนเองกับผู้อื่น มีเจตจำนงของตนที่จะบรรลุ 
การตัดสินใจทำสิ่งใดว่ากันว่ามาจากความคิด บางครั้งเป็นความคิดชั่ววูบลงมือทำในทันที บางครั้งไตร่ตรองนานจนไม่ได้ทำ เมื่อเรารู้ตัวของเราในอดีตสัมผัสกับศักยภาพยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราซึ่งจะเผยออกมาในอนาคต กระนั้นเรายังคิดถึงตนเองและผู้อื่นสิ่งต่างๆ นี้ฉุดรั้งเราไปจากปัจจุบันที่สมควรทำ 
มีนิทานของตอลสตอย ที่กล่าวถึงพระราชาผู้ค้นหาคำตอบของสามสิ่งคือ 1. เวลาไหนที่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง 2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย 3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา เรื่องราวผ่านไป พระองค์ได้คำตอบว่า จงจำไว้ว้า เวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน" ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่ และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต".... 
ยังมีนิทานของวอลแตร์(นิทานปรัชญา ของ วอลแตร์ แปลโดย ดารณี เมืองมา บริษัท สำนักพิมพ์ดวงกมล(2520) จำกัด พ.ศ. 2540 หน้า 177) พูดถึงปริศนาของราชครู ต่อซาดิก และผู้อ้างเป็นซาดิก ว่า "อะไรเอ่ย ในบรรดาสิ่งทั้งหล่ยในโลกนี้ที่ยาวที่สุด สั้นที่สุด ที่เร็วที่สุด และช้าที่สุด ที่ถูกปล่อยปละละเลยมากที่สุด และน่าเสียดายมากที่สุด ถ้าไม่มีสิ่งนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้ มันทำลายทุกสิ่งที่เล็ก และให้ชีวิตกับทุกสิ่งที่ใหญ่โต"... ซาดิกตอบว่าเวลา ..."ไม่มีอะไรจะยาวกว่าเวลาและมันเป็นเครื่องวัดความไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรจะสั้นไปกว่าเวลา เพราะเราจะมีไม่พอสำหรับคนที่รอคอย ไม่มีอะไรที่จะเร็วไปกว่าเวลาสำหรับผู้ที่มีความสุข มันขยายใหญ่ไพศาลจนกระทั่งวัดไม่ได้ มันแบ่งเล็กที่สุดจนวัดไม่ได้เช่นกัน มนุษย์ทุกคนปล่อยปละละเลยมัน และต่างก็เสียใจกันทุกคนที่เสียมันไป เราทำอะไรไม่ได้เลยถ้าขาดมัน มันทำให้คนรุ่นหลังลืมสิ่งที่ไม่ดี และทำให้สิ่งยิ่งใหญ่เป็นอมตะ"...
คุณเห็นความคิด วิธีคิด ผลของการคิดจากนิทานทั้งสองเรื่องใหม ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องแต่ง แต่งจากอะไร ความคิด ความเป็นจริง การกระทำ หรือ อะไร 
คุณเคยตั้งคำถามต่อสิ่งที่เข้ามาในชีวิต แล้วสังเกตุมันไหม 
บางคนเชื่อมั่นในโชคชะตา ว่ากันว่าแบบฝึกหัดทั้งหลายของชีวิตเราจะผ่านไปได้ ด้วยธรรมชาติรู้ความสามารถและความเป็นไปของเราจึงให้บทเรียนเหล่านั้นแก่เรา เมื่อวันเวลาผ่านไปความทุกข์ความสุขจะหล่อหลอมตัวเราจิตวิญญาณเราให้เข็มแข็งเติบใหญ่ 
คุณเห็นไหมความคิดนั้นก่อตัวขึ้นมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา 
คุณเคยอ่านชีวิตคนไหม อ่านจากชีวิตจริง จากคำบอกเรา จากเรื่องราวชีวประวัติ มีประวัติคนมากมายที่ถูกจากรีกไว้ เมื่อคุณอ่านไม่ว่าจากแหล่งใดโปรดสังเกตุ สังเกตุ สังเกตุ เรื่องราว การตัดสินใจ การกระทำ เมื่อสังเกตุแล้วคุณจะพบ ความเชื่อ ความคิด และโชคชะตาในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น 
ลองอ่านหนังสือเมื่อถึงตอนเหตุการณ์ที่จะต้องตัดสินใจโปรดลองสมมุติตัวเองเป็นตัวละครนั้นแล้วลองตัดสินใจดู อ่านต่อแล้วลองเทียบผลที่เกิดขึ้น สำรวจดูว่าหากเป็นคุณจะได้ผลเหมือนกันหรือไม่ ลองล้อเล่นกับความคิดโดยไม่ต้องเสี่ยงอันตรายดู
สังเกตุความคิดที่เกิดขึ้นนั้น เกิดมาจากสมอง หัวใจ หรือร่างกาย สิ่งที่เราคิดมีอคติสี่ประการประกอบกับความคิดนั้นหรือไม่ เราตัดสินคน ดูหมิ่นดูแคลนความเป็นมนุษย์หรือความคิดเรามาจากความกลัวหรือไม่ ตามดูความคิดของเรา เราคิดจากข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือบางส่วน เราเห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดไหม เราใช้ความรู้สึกทั้งหมดที่เรามีหรือความรู้สึกนั้นเป็นเพียงสัมผัสที่มาจากอารมณ์สะเทือนใจจากเหตุการณ์นั้นเชื่อมต่อกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา หรือเราสัมผัสมันด้วยความเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ข้อเท็จจริงนั้น เราเห็นข้อดีข้อเสียด้านบวกด้านลบของสิ่งที่สัมผัสได้ครบถ้วนหรือเราละเลยด้านใดด้านหนึ่งไปหรือเปล่า มันมีอันตรายใดที่เราต้องคำนึงไหมเราได้นำมันมาไตร่ตรองหรือไม่ เราสร้างสรรค์สิ่งใดได้จากเหตุการณ์ข้อเท็จจริงความรู้สึกทั้งแง่บวกและแง่ลบรวมทั้งอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เมื่อเราเห็นภาพรวมทั้งหมดแล้วเราจะตัดสินใจทำสิ่งที่คิดให้เป็นจริงได้ด้วยวิธีใด 
ลองตามดูความคิดของเรา เราต้องสังเกตุ สังเกตุ สังเกตุ ไตร่ตรอง ไม่วิตกกังวล ปล่อยให้ อดีต อนาคตอยู่ในที่ทางของมัน ปล่อยให้ตัวตน และสังคมแวดล้อมอยู่ในที่ทางของเขา และเราจะเชื่อมต่อกับทุกสรรพสิ่งได้อย่างไม่มีเงื่อนไข การดำรงอยู่ในปัจจุบันของเราจะทำให้เราพัฒนาเห็นทางออกใหม่บนระดับที่ไม่ใช่ระดับที่สร้างปัญหานั้นแต่เป็นระดับที่เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งและอยู่นอกเหนือจากระดับเดิม เราตกผลึกทางความคิด สิ่งใหม่เกิดขึ้น เราเห็นทางปฏิบัติที่สามารถนำไปกระทำ รู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร และผลของมันเป็นอย่างไร เราเฝ้าดูความคิด ติดตามการกระทำ ดำเนินไปตามสิ่งที่ควรเป็นเมื่อมันดำเนินไปเกิดข้อมูลใหม่เราก็เชื่อมต่อและสามารถมีวิธีปฏิบัติได้อย่างกลมกลืนต่อไป ดังนั้นเราจึงอยู่ท่ามกลางความเป็นไปอย่างเลื่อนไหลมีพลังในสิ่งที่เคลื่อนไป พลังแห่งสรรพสิ่งได้ดำเนินไปตามวิถีของมัน สอดคล้องกับความเป็นจริงที่แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดนิ่งเป็นวิวัฒนาการ เป็นวัฏฏะที่สร้างสรรค์และพัฒนา
ตามดูความคิดทั้งมวล ทำให้เรารวมกับผู้คนได้อย่างสอดคล้องและมีพลัง บนพื้นฐานของความเมตตา มักน้อย และถ่อมตน สรรพสิ่งจึงยังประโยชน์และเกื้อกูลกันและกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น